top of page

Why Blooming is Important

  • Writer: ZMITH
    ZMITH
  • May 1, 2022
  • 2 min read

Updated: May 2, 2022

ทำไมต้องบลูมกาแฟ?


Coffee Extraction, Pour Over Coffee, How to make coffee, Blooming


ในการดริปกาแฟ การเทน้ำครั้งแรก ไม่เรียกว่าการเทน้ำครั้งแรก(First Pour) เพราะจริง ๆ แล้ว การเทน้ำครั้งแรกคือการเทน้ำครั้งที่สอง… และการเทน้ำครั้งแรก เราเรียกว่าการ “บลูม(Bloom)” เอ้า งงเด้….. 🤣


ทำไมต้องทำให้ซับซ้อน 😫 ทำไมถึงต้องเป็น Bloom > 1st Pour > 2nd Pour… แทนที่จะเรียกว่าเทน้ำครั้งที่ 1, 2, 3 ให้มนุษย์โลกเค้าเข้าใจกันง่าย ๆ ว้าาาา


ในบทความนี้ ZMITH จะมาอธิบายเบื้องลึก เบื้องหลังของการบลูม รวมทั้งเหตุผลที่(คิดว่า)ทำไมถึงไม่นับการ Bloom เป็นการเทน้ำครั้งแรก


ree

Blooming vs 1st Pours(and the next)

ทำไมการบลูมถึงไม่นับเป็นการเทน้ำครั้งแรก


Blooming หรือ การบลูม เป็นศัพท์เทคนิคในการสกัดกาแฟ โดยเฉพาะกับการสกัดกาแฟแบบ Filter (ดริป) มีอีกชื่ออย่างเป็นทางการว่า Preinfusion… ซึ่งมาจากศัพท์คำว่า Pre (ก่อน) กับคำว่า Infuse ซึ่งหมายถึงกระบวนการซึ่งใช้ในการสกัดสิ่งต่าง ๆ รวมถึง ชา และกาแฟ (ในการสกัด Espresso ก็เรียกว่า Preinfusion)


ก่อนที่เราจะสกัดเอาสารประกอบทางเคมีออกมาจากผงกาแฟได้ตัวทำละลาย(ในที่นี้คือน้ำ) จะต้องซึมเข้าไปในผงกาแฟก่อน เพื่อให้กลไกการแพร่ทำงานได้ และนำเอาสารประกอบในกาแฟออกมาข้างนอก พูดง่าย ๆ ว่า น้ำต้อง “ซึมเข้า” ก่อนที่กาแฟจะ “ซึมออก”


และนั่นคือเหตุผลที่เราแบ่งการสกัดออกเป็นสองช่วงใหญ่ ๆ คือ “Preinfusion” หรือ “ช่วงก่อนการสกัด” ซึ่งเป็นช่วงที่น้ำ “ซึมเข้า” เป็นหลัก กับ “Main Extraction” หรือ “ช่วงการสกัดหลัก” ที่เป็นช่วงของการ “ซึมออก” ที่เป็นการดึงเอาสารประกอบในกาแฟออกมา


ด้วยเหตุนี้การ Bloom ที่เป็นช่วง Preinfusion จึงไม่ถูกนับรวมอยู่ในช่วง Main Extraction และเราจึงเริ่มนับ 1 ใหม่สำหรับการเทในช่วงการสกัดหลัก (ไม่งงเนอะ 😅)


เอาละ… จะนับยังไงก็ช่าง สิ่งสำคัญคือ “ทำไปทำไม?” 🤔


Why Blooming?

เราบลูมไปเพื่ออะไร


การบลูมกาแฟไม่ได้เป็นแค่ Gimmick ทำเท่ห์ ๆ แต่มันมีประโยชน์ในการสกัดกาแฟจริง ๆ เพราะเหตุผลหลัก ๆ คือการป้องกันสิ่งที่เราเรียกว่า Channeling (ใครทราบคำแปลไทยตรงตัวช่วยบอกทีนะครับ 😅)


Channeling

ในบทความก่อน ๆ เราพูดถึงเรื่องแรงยึดติด(Cohesive Force)ของโมเลกุลน้ำไปแล้ว (ที่ทำให้เกิดแรงตึงผิว) ซึ่งแรงนี้จะทำให้น้ำเลือกที่จะไหลไปในที่ที่มีน้ำอยู่ก่อนแล้ว เหมือนหยดน้ำบนกระจกที่จะไหลไปรวมกับหยดน้ำอีกหยดอย่างรวดเร็วเมื่อสัมผัสกัน


ปรากฏการณ์เดียวกันจะเกิดขึ้น ถ้าผงกาแฟเปียกไม่ทั่วถึงกัน น้ำจะเลือกไหลไปทางที่ผงกาแฟเปียกอยู่แล้วก่อนเสมอ ทำให้เกิดการสกัดในส่วนที่น้ำไหลผ่านมาก และมีบางส่วนที่น้ำไหลผ่านน้อยกว่า (หรือไม่ผ่านเลย)ซึ่งกาแฟส่วนนั้นจะถูกสกัดออกมาน้อยกว่า อาการนี้เราเรียกว่า การสกัดไม่สม่ำเสมอ (Uneven Extraction)


อีกสาเหตุที่ทำให้เกิด Channeling ก็คือการเรียงตัวของผงกาแฟที่ไม่สม่ำเสมอกัน ผงกาแฟที่ละเอียดกว่าจะมีแรงต้านที่มากกว่าผงหยาบ ซึ่งถ้าปล่อยน้ำไหลตามธรรมชาติ น้ำจะไหลไปทางที่ไหลง่ายกว่า นั่นก็คือไหลผ่านช่องที่ผงละเอียดน้อยกว่า


การ Bloom คือกระบวนการที่เราทำให้ผงกาแฟเปียกโดยทั่วกันเพื่อลดการเกิด Channeling ของน้ำให้มากที่สุด และช่วยให้การสกัดในช่วง Main Extraction เกิดขึ้นอย่างทั่วถึงและ มีประสิทธิภาพนั่นเอง



How it work?

เกิดอะไรขึ้นตอนบลูม


เมล็ดกาแฟ คือเมล็ดพืช🌱ที่ประกอบขึ้นจากเซลส์จำนวนนับไม่ถ้วน ผงกาแฟ คือเศษเมล็ดพืชที่ถูกบดให้ขนาดเล็กลง แต่ก็ยังประกอบด้วยเซลส์จำนวนมากอยู่ดี ซึ่งเซลส์เหล่านี้ถูกทำให้ขยายตัวออกระหว่างการคั่ว เกิดเป็นรูพรุนมากมายที่อัดแน่นด้วยแก๊ส CO2


เมล็ดกาแฟที่ถูกบดจะมีส่วนของเซลส์ที่แตกอยู่ โมเลกุลของน้ำจะซึมเข้าไปในช่องว่างเหล่านั้น และดันเอา CO2 ที่อยู่ในช่องว่างของเซลส์ออกมา เกิดเป็นฟองอากาศจำนวนมาก ดันกันไป ดันกันมาจนผงกาแฟบวมขึ้นเป็นทรงโดม ซึ่งปริมาณก๊าซที่ออกมาจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง


✨ความสดใหม่ของเมล็ดกาแฟ

หลังจากคั่ว กาแฟจะคลายแก๊สออกมาเรื่อย ๆ (ความเร็วในการคายขึ้นอยู่กับปัจจัยในการเก็บรักษา) กาแฟที่สดใหม่จะมีปริมาณแก๊สมากกว่า


🔥ระดับการคั่ว

การแฟที่คั่วเข้มกว่า จะมีแก๊ส CO2 ติดอยู่ในเซลส์มากกว่า และช่องว่างในเซลส์ก็ใหญ่กว่า ทำให้เวลาบลูมฟองจะออกมาเยอะมาก


🌡อุณหภูมิน้ำ

น้ำที่อุณหภูมิสูงจะสามารถซึมได้เร็วกว่า เนื่องจากแรงยึดติด (Cohesive force) และความหนืด(Viscosity)น้อยลง ทำให้สามารถซึม และดันแก๊สออกมาได้เร็ว และมากกว่าน้ำอุณหภูมิต่ำ


📏ขนาดผงบด

กาแฟที่บดละเอียดจะมีพื้นที่ผิวสัมผัสกับน้ำได้มากกว่า แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถจับตัวกันแน่นจนน้ำซึมเข้าไปไม่ถึงก็ได้เช่นกัน ในทางกลับกันถ้าบดหยาบเกินไป น้ำก็อาจจะซึมเข้าไปไม่ถึงเซลส์ที่อยู่ลึกเข้าไปด้านใน ทำให้สกัดกาแฟออกมาได้ไม่เต็มที่


การบลูมที่ดีควรจะทำให้ผงกาแฟเปียกทั่วถึงกันหมด ทั้งด้านนอก และด้านในผงกาแฟ เพื่อที่การสกัดในช่วง Main Extraction มีประสิทธิภาพดี… คำถามต่อไปคือ แล้วเราจะบลูมกาแฟยังไงให้ดี และมีประสิทธิภาพ?


How to Bloom Coffee?

บลูมกาแฟยังไงให้แจ่มว้าว


สำหรับการสกัดกาแฟแบบ Filter โดยทั่วไปการบลูมจะกินเวลาในการดริปกาแฟประมาณ 30 - 40 วินาทีเท่านั้น (ถ้าไม่หันไปทำอย่างอื่นจนลืม 😅) แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในดริปเปอร์นั้นมีมากมาย ทั้งการแพร่(Diffusion) การพา(Advection) การคายแก๊ส(Degassing) รวมทั้ง Agitation & Turbulence ด้วย


ดังนั้น เทคนิคต่าง ๆ ที่ใช้ในระหว่างการ Brew ก็สามารถนำมาปรับใช้กับการบลูมได้ด้วยเช่นกัน เพื่อช่วยให้ผงกาแฟเปียกโดยทั่วกัน และถูกสกัดออกมาอย่างสม่ำเสมอ และมีประสิทธิภาพ เราจะยกตัวอย่างเทคนิคบางอย่างที่สามารถทำให้การ Bloom มีประสิทธิภาพมากขึ้น


ใช้การเทน้ำ💧(Stream of Water)

อันนี้เป็นเทคนิคพื้นฐานที่แทบทุกคนใช้กัน คือการเทน้ำวนให้ทั่วผงกาแฟ ใช้แรงจากสายน้ำช่วยทะลวงลงไปในผงกาแฟ โดยปกติแล้วเราจะใช้น้ำประมาณ 2 - 4 เท่าของน้ำหนักผงกาแฟในการ Bloom แต่ยิ่งเราใช้น้ำในการบลูมมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งเหลือน้ำสำหรับช่วงการสกัดหลักน้อยลง


Jonathan Gagne ผู้เขียนหนังสือ The Physics of Filter Coffee แนะนำว่า การ Bloom ด้วยน้ำปริมาณ 2 เท่าของน้ำหนักกาแฟ ตามด้วยการรินน้ำเบา ๆ เป็นช่วง ๆ (Very slow, pulsed pour)จะช่วยให้ผงกาแฟซึมซับน้ำได้ดีขึ้น


เทคนิคนี้ใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุด เพราะเรียบง่าย และไม่มีอุปกรณ์เพิ่มเติม ใช้ได้กับดริปเปอร์ทุกตัว ข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือ… มันต้องใช้ทักษะความชำนาญพอสมควร เพราะมีปริมาณน้ำให้ใช้ได้เพียงเล็กน้อย แต่ต้องรินให้กาแฟเปียกทั่วถึงกันหมด… ซึ่งไม่ง่ายเลยสำหรับหลาย ๆ คน😅


ใช้การหมุนดริปเปอร์🌪(Swirl)

เทคนิคนี้เป็นการสร้าง Agitation ภายในดริปเปอร์โดยใช้การเคลื่อนไหว และแรงเหวี่ยง ซึ่ง Turbulence ที่เกิดขึ้นจะช่วยให้ผงกาแฟส่วนที่ยังแห้งนั้นถูกน้ำได้ง่ายขึ้น และทำให้ผงกาแฟซึมน้ำได้ดี และทั่วถึงกว่าการใช้การรินน้ำจากกาเพียงอย่างเดียว

.

ข้อเสียของวิธีนี้คือ เราต้องมีความเร็วของปีศาจ 😈 เพราะหลังจากรินน้ำ Bloom จบ ต้องรีบวางกา แล้วจับดริปเปอร์ยกขึ้น แล้วหมุน ๆ ซึ่งถ้าเป็นดริปเปอร์ทรงกรวยส่วนใหญ่อย่าง Origami หรือ V60 ที่น้ำไหลเร็ว กว่าเราจะยกดริปเปอร์ขึ้นหมุนน้ำก็ไหลลงไปหมดแหล่วว 😭

.

อีกจุดที่ต้องระวังคือ ถ้าหมุนมากเกินไป หรือใช้เครื่องบดที่ให้ผงละเอียดเยอะ อาจจะทำให้ผงเอียดตกลงไปอยู่ที่ก้นดริปเปอร์ และทำให้น้ำตันได้ง่าย ๆ เลย… 😅 (ตันทีทิ้งทั้ง Serve เสียดายยย)

.

ใช้วัตถุลงไปคน/กวน🥄(Stir)

การใช้ช้อน หรือไม้พายลงไปกวนหลังจากรินน้ำ Bloom จะช่วยสร้าง Turbulence ที่รุนแรงทำให้ผงกาแฟเปียกโดยทั่วกันได้อย่างง่ายดาย ซึ่งในเทคนิคของ James Hoffman ก็แนะนำให้ใช้วิธีนี้ ส่วนข้อเสียคือต้องเตรียม และล้างอุปกรณ์เพิ่มขึ้นอีกชิ้นนึง😅




เอาละครับ มาถึงคำถามสุดท้าย สมมุติว่าเรางัดเอาท่าไม้ตายมาใช้หมดละ คนก็แล้ว หมุนก็แล้ว สุดท้ายจะรู้ได้ยังไงว่า การบลูมกาแฟของเราโอเคแล้วรึยัง? 🤔


ขั้นแรกให้ดูว่า Coffee Bed ของเราบวมขึ้นมาเป็นรูปโดมรึเปล่าในช่วงของการ Preinfusion เพราะเมื่อน้ำซึมเข้าไปในผงกาแฟทั่วถึงกัน แก๊สจะดันผงกาแฟให้บวมขึ้นเป็นทรงโดมโดยทั่วกัน (ถ้าผงกาแฟบวมแค่ส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือมีบางจุดไม่บวม นั่นหมายความว่ากาแฟจรงจุดนั้นยังไม่ซีมน้ำดี)

**ในกรณีเมล็ดกาแฟเก่า หรือกาแฟที่คั่วอ่อนมาก ๆ ผงกาแฟอาจไม่บวม เพราะมีปริมาณแก๊สอยู่น้อย**


ต่อมาให้สังเกตดูในช่วงของการสกัดหลัก (Main Extraction Phase) นั้น ยังมีฟองอากาศขนาดใหญ่ผุดขึ้นมาอีกรึเปล่า ถ้ายังมี แปลว่ากาแฟของเราเปียกไม่ทั่วถึงตอนบลูม และกำลังเกิด Channeling อยู่ เพราะฟองอากาศคือสัญญาณที่ชี้ว่า มีผงกาแฟส่วนนึงเพิ่งจะถูกน้ำทีหลังนั่นเอง




เอาละครับ พอประมาณกับการบลูม 😅 ตอนเริ่มคิดจะดริปกาแฟกินเองคงไม่มีใครนึกฝันว่า แค่เทน้ำครั้งแรกมันจะมีอะไรมากมายขนาดนี้ แต่ก็เพราะแบบนี้แหละ การทำกาแฟถึงได้มีสเน่ห์ 🥰 เพราะมันยังมีช่องทางให้เราได้พัฒนาทักษะฝีมือไปได้เรื่อย ๆ ไม่มีที่จบสิ้น


ประสบการณ์กาแฟไม่ได้อยู่แค่เราได้กาแฟอร่อย ๆ มาดื่ม แต่มันยังเป็นความสุขที่เห็นพัฒนาการของตัวเราเอง ของบาริสตาขาประจำ ของเกษตรกร นักแปรรูป หรือนักคั่วกาแฟที่เราอุดหนุนเป็นประจำ ☺️ เพราะสำหรับมนุษย์แล้วการรู้สึกถึงพัฒนาการคือความสุข… และ


เพราะประสบการณ์คืองานคราฟท์


Comments


EXPERIENCES WELL CRAFTED

bottom of page